วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2551
วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2551
พระเจ้ามีจริงหรือไม่? ฉันจะรู้แน่ ๆ ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีจริง?
พระเจ้ามีจริงหรือไม่? ฉันจะรู้แน่ ๆ ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีจริง?
คำถาม: พระเจ้ามีจริงหรือไม่? ฉันจะรู้แน่ ๆ ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีจริง?คำตอบ: เรารู้ว่าพระเจ้ามีจริงเพราะพระองค์ทรงเิปิดเผยพระองค์เองต่อเราในสามทาง คือ ทางการทรงสร้าง, ทางพระวจนะของพระองค์, และทางพระบุตรของพระิองค์, พระเยซูคริสต์. หลักฐานพื้น ๆ ที่พิสูจน์ว่าพระเ้จ้ามีจริงอยู่ คือ สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา “ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระองค์นั้น คือฤทธานุภาพอันนิรันดร์และเทวสภาพของพระเจ้า ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย” (โรม 1:20) “ฟ้าสวรรค์ประกาศสง่าราศีของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์” (สดุดี 19:1).หากข้าพเจ้าเจอนาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่งในสนามหญ้่าแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าคงไม่คิดว่ามัน “โผล่” ขึ้นมาเองโดยไม่มีที่มาที่ไป หรือ มัีนอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด ดูจากการออกแบบของมัน ข้าพเจ้าจะต้องเดาเอาว่าจะต้องมีใครสักคนหนึ่งออกแบบมันขึ้นมา แต่ข้าพเจ้าเห็นการออกแบบที่ยิ่งใหญ่และจำเพาะเจาะจงกว่านั้นมากนักในโลกรอบ ๆ ตัวเรา การวัดเวลาของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับนาฬิกาข้อมืิอ แต่ขึ้นอยู่กับหัตถกิจของพระเจ้า -- การหมุนของโลก (และคุณสมบัติของกัมมันตภาพรังสีซีเซียม-133 อะตอม) จักรวาลแสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่ยิ่งใหญ่ และนี่เป็นการถกว่าจะต้องมีนักออกแบบผู้ยิ่งใหญ่.หากข้าพเจ้าเจอข้อความที่เข้าระหัสไว้่ ข้าพเจ้าก็จะต้องพยายามแก้ระหัสนั้นให้ได้ ข้าพเจ้าคงคิดว่าจะต้องมีใครสักคนที่เป็นสายลับที่เป็นผู้ส่ง ข่าวมา และเป็นผู้ตั้งระหัสเอาไว้ คิดดูซิว่า “ระหัส” DNA ที่อยู่ในทุกเซลล์ในร่างกายของเรานั้นซับซ้อนแค่ไหน? ความซับซ้อนและวัตถุประสงค์ของมันไม่ได้แแสดงให้เห็นเลยหรือว่าต้องมีสายลับสักคนหนึ่งเป็นผู้เขียนระหัสนี้ขึ้นมา.พระเจ้าไม่เพียงแต่ทรงสร้างโลกที่แสนสลับซับซ้อนแต่กลมกลืนเข้ากันได้เป็นอย่างดีเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงปลูกฝังความรู้สึกอันเป็นนิรันดร์เข้าไว้ในใจของมนุษย์ทุกคนด้วย (ปัญญาจารย์ 3:11) มนุษย์มีความคิดที่ติดตัีวมาตั้งแต่กำเนิดว่าชีวิตนี้มีอะไรมากกว่าที่ตามองเห็น ว่ามีอะไรที่เป็นอยู่เหนือกว่าการดำเนินชีวิตตามปกติประจำวัน ความสำนึกของเราเกี่ยวกับความเป็นนิรันดร์ปรากฎขึ้นมาอย่างน้อบสองทาง นั่นคือ การกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมา และการนมัสการ.ตลอดเวลาที่ผ่านมา คนทุกเชื้อชาติศาสนาได้เห็นถึงคุณค่าทางคุณธรรมบางประการซึ่งน่าแปลกใจว่าเป็นความเห็นที่เหมือนกันหมด ยกตัวอย่างเช่น ความรักในอุดมคติเป็นที่ยกย่องของคนทั่วไป ในขณะที่การโกหกเป็นที่เกลียดชัง คุณค่าทางคุณธรรมที่เหมือนกันนี้ (ความเข้่าใจเหมือนกันทั่วโลกถึงสิ่งทีุ่ถูกและผิด) ชี้ให้เห็นถึงผู้มีุคุณธรรมสูงสุดผู้ใส่ความรู้สึกละอายไว้ในเรา.ในทำนองเดียวกัน ไม่ว่าขนบธรรมเนียมประเภณีของคนทั่วโลกจะเป็นอย่างไร ผู้คนจะสร้างระบบการนมัสการขึ้นมาอยู่เสมอ สิ่งที่พวกเขานมัสการอาจไม่เหมือนกัน แต่ความรู้สึกถึง “พลังที่มาจากเบื้องบน” เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ที่เราปฏิเสธไม่ได้ ความอยากนมัสการของเราเกิดขึ้นตามความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นมา “ตามพระฉายของพระองค์” (ปฐมกาล 1:27).พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองต่อเราผ่านทางพระวจนะของพระองค์ (พระคัมภีร์) ด้วยเช่นกัน ตลอดทั่วทั้งพระคัมภีร์ การดำรงอยู่ของพระเจ้าถูกพิจารณาว่าเป็นความจริงโดยประจักษฺ์พยานในตัวของมันเอง (ปฐมกาล 1:1; อพยพ 3:14) เมื่อ เบนจมิน แฟรงคลิน เขียน อัตชีวประวัติ ของเขา เขาไม่ได้เสียเวลาพยายามพิสูจน์เลยว่าเขามีตัวตน เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงไม่ได้ใช้เวลามากนักพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงมีตัวตนในหนังสือของพระองค์ คุณสมบัติของพระคัมภีร์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนได้, คุณธรรมในนั้น และการอัศจรรย์ที่ีมีปรากฎอยู่ ควรเพียงพอที่จะรับประกันให้ผู้อ่านตรวจสอบมันให้ชัดเจนยิ่งขึ้น.ทางที่สามที่พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองก็คือโดยทางพระบุตร (พระเยซูคริสต์) (ยอห์น 14:6-11) “ในเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า … พระวาทะได้ทรงสภาพของเนื้อหนัง และทรงอยู่ท่ามกลางเรา (และเราทั้งหลายได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ คือสง่าราศีอันสมกับพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดจากพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” (ยอหฺ์น 1:1, 14) ในพระเยซูคริสต์ “สภาพของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์” (โคโลสี 2:9).ในชีวิตที่แสนอัศจรรย์ของพระเยซู พระองค์ทรงรักษากฎบัญญัติทั้งหมดในพันธสัญญาเดิมไว้ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง และทรงทำให้คำเผยพระวจนะเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ (มัทธิว 5:17) สำเร็จเป็นจริง พระองค์ทรงทำพระราชกิจแห่งความเมตตาสงสารและการอัศจรรย์มากมายนับไม่ถ้วนต่อหน้าฝูงชนเป็นจำนวนมาก เพื่อพิสูจน์สิ่งที่พระองค์ตรัส และเป็นพยานถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ (ยอห์น 21:24-25) ต่อจากนั้น สามวันหลังจากที่ทรงถูกตรึงบนกางเขน พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ มีคนเป็นร้อย ๆ เห็นสิ่งเหล่านี้กับตาและสามารถยืนยันข้อเท็จจริงนี้ได้ (1 โครินธ์ 15:6) หลักฐานทางประวัติศาสตร์มี “ข้อพิสูจน์” มากมายว่าพระเยซูคือใคร ดังที่อัครสาวกเปาโลได้กล่าวไว้ “การเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้” (กิจการ 26:26).เรารู้ว่าจะต้องมีคนขี้สงสัยผู้ที่มีความคิดเป็นของตนเองเกี่ยวกับพระเจ้่าติดตามอ่านหลักฐานเหล่านี้อยู่ และจะมีบางคนที่ไม่ว่าจะมีหลักฐานแค่ไหนเขาก็ไม่มีวันจะเปลี่ยนใจ (สดุดี 14:1) ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเชื่อเท่านั้น (ฮีบรู 11:6).
คำถาม: พระเจ้ามีจริงหรือไม่? ฉันจะรู้แน่ ๆ ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีจริง?คำตอบ: เรารู้ว่าพระเจ้ามีจริงเพราะพระองค์ทรงเิปิดเผยพระองค์เองต่อเราในสามทาง คือ ทางการทรงสร้าง, ทางพระวจนะของพระองค์, และทางพระบุตรของพระิองค์, พระเยซูคริสต์. หลักฐานพื้น ๆ ที่พิสูจน์ว่าพระเ้จ้ามีจริงอยู่ คือ สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา “ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระองค์นั้น คือฤทธานุภาพอันนิรันดร์และเทวสภาพของพระเจ้า ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย” (โรม 1:20) “ฟ้าสวรรค์ประกาศสง่าราศีของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์” (สดุดี 19:1).หากข้าพเจ้าเจอนาฬิกาข้อมือเรือนหนึ่งในสนามหญ้่าแห่งหนึ่ง ข้าพเจ้าคงไม่คิดว่ามัน “โผล่” ขึ้นมาเองโดยไม่มีที่มาที่ไป หรือ มัีนอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด ดูจากการออกแบบของมัน ข้าพเจ้าจะต้องเดาเอาว่าจะต้องมีใครสักคนหนึ่งออกแบบมันขึ้นมา แต่ข้าพเจ้าเห็นการออกแบบที่ยิ่งใหญ่และจำเพาะเจาะจงกว่านั้นมากนักในโลกรอบ ๆ ตัวเรา การวัดเวลาของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับนาฬิกาข้อมืิอ แต่ขึ้นอยู่กับหัตถกิจของพระเจ้า -- การหมุนของโลก (และคุณสมบัติของกัมมันตภาพรังสีซีเซียม-133 อะตอม) จักรวาลแสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่ยิ่งใหญ่ และนี่เป็นการถกว่าจะต้องมีนักออกแบบผู้ยิ่งใหญ่.หากข้าพเจ้าเจอข้อความที่เข้าระหัสไว้่ ข้าพเจ้าก็จะต้องพยายามแก้ระหัสนั้นให้ได้ ข้าพเจ้าคงคิดว่าจะต้องมีใครสักคนที่เป็นสายลับที่เป็นผู้ส่ง ข่าวมา และเป็นผู้ตั้งระหัสเอาไว้ คิดดูซิว่า “ระหัส” DNA ที่อยู่ในทุกเซลล์ในร่างกายของเรานั้นซับซ้อนแค่ไหน? ความซับซ้อนและวัตถุประสงค์ของมันไม่ได้แแสดงให้เห็นเลยหรือว่าต้องมีสายลับสักคนหนึ่งเป็นผู้เขียนระหัสนี้ขึ้นมา.พระเจ้าไม่เพียงแต่ทรงสร้างโลกที่แสนสลับซับซ้อนแต่กลมกลืนเข้ากันได้เป็นอย่างดีเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงปลูกฝังความรู้สึกอันเป็นนิรันดร์เข้าไว้ในใจของมนุษย์ทุกคนด้วย (ปัญญาจารย์ 3:11) มนุษย์มีความคิดที่ติดตัีวมาตั้งแต่กำเนิดว่าชีวิตนี้มีอะไรมากกว่าที่ตามองเห็น ว่ามีอะไรที่เป็นอยู่เหนือกว่าการดำเนินชีวิตตามปกติประจำวัน ความสำนึกของเราเกี่ยวกับความเป็นนิรันดร์ปรากฎขึ้นมาอย่างน้อบสองทาง นั่นคือ การกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมา และการนมัสการ.ตลอดเวลาที่ผ่านมา คนทุกเชื้อชาติศาสนาได้เห็นถึงคุณค่าทางคุณธรรมบางประการซึ่งน่าแปลกใจว่าเป็นความเห็นที่เหมือนกันหมด ยกตัวอย่างเช่น ความรักในอุดมคติเป็นที่ยกย่องของคนทั่วไป ในขณะที่การโกหกเป็นที่เกลียดชัง คุณค่าทางคุณธรรมที่เหมือนกันนี้ (ความเข้่าใจเหมือนกันทั่วโลกถึงสิ่งทีุ่ถูกและผิด) ชี้ให้เห็นถึงผู้มีุคุณธรรมสูงสุดผู้ใส่ความรู้สึกละอายไว้ในเรา.ในทำนองเดียวกัน ไม่ว่าขนบธรรมเนียมประเภณีของคนทั่วโลกจะเป็นอย่างไร ผู้คนจะสร้างระบบการนมัสการขึ้นมาอยู่เสมอ สิ่งที่พวกเขานมัสการอาจไม่เหมือนกัน แต่ความรู้สึกถึง “พลังที่มาจากเบื้องบน” เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ที่เราปฏิเสธไม่ได้ ความอยากนมัสการของเราเกิดขึ้นตามความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นมา “ตามพระฉายของพระองค์” (ปฐมกาล 1:27).พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองต่อเราผ่านทางพระวจนะของพระองค์ (พระคัมภีร์) ด้วยเช่นกัน ตลอดทั่วทั้งพระคัมภีร์ การดำรงอยู่ของพระเจ้าถูกพิจารณาว่าเป็นความจริงโดยประจักษฺ์พยานในตัวของมันเอง (ปฐมกาล 1:1; อพยพ 3:14) เมื่อ เบนจมิน แฟรงคลิน เขียน อัตชีวประวัติ ของเขา เขาไม่ได้เสียเวลาพยายามพิสูจน์เลยว่าเขามีตัวตน เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงไม่ได้ใช้เวลามากนักพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงมีตัวตนในหนังสือของพระองค์ คุณสมบัติของพระคัมภีร์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนได้, คุณธรรมในนั้น และการอัศจรรย์ที่ีมีปรากฎอยู่ ควรเพียงพอที่จะรับประกันให้ผู้อ่านตรวจสอบมันให้ชัดเจนยิ่งขึ้น.ทางที่สามที่พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองก็คือโดยทางพระบุตร (พระเยซูคริสต์) (ยอห์น 14:6-11) “ในเริ่มแรกนั้นพระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า … พระวาทะได้ทรงสภาพของเนื้อหนัง และทรงอยู่ท่ามกลางเรา (และเราทั้งหลายได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ คือสง่าราศีอันสมกับพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดจากพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” (ยอหฺ์น 1:1, 14) ในพระเยซูคริสต์ “สภาพของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์” (โคโลสี 2:9).ในชีวิตที่แสนอัศจรรย์ของพระเยซู พระองค์ทรงรักษากฎบัญญัติทั้งหมดในพันธสัญญาเดิมไว้ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง และทรงทำให้คำเผยพระวจนะเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ (มัทธิว 5:17) สำเร็จเป็นจริง พระองค์ทรงทำพระราชกิจแห่งความเมตตาสงสารและการอัศจรรย์มากมายนับไม่ถ้วนต่อหน้าฝูงชนเป็นจำนวนมาก เพื่อพิสูจน์สิ่งที่พระองค์ตรัส และเป็นพยานถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ (ยอห์น 21:24-25) ต่อจากนั้น สามวันหลังจากที่ทรงถูกตรึงบนกางเขน พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ มีคนเป็นร้อย ๆ เห็นสิ่งเหล่านี้กับตาและสามารถยืนยันข้อเท็จจริงนี้ได้ (1 โครินธ์ 15:6) หลักฐานทางประวัติศาสตร์มี “ข้อพิสูจน์” มากมายว่าพระเยซูคือใคร ดังที่อัครสาวกเปาโลได้กล่าวไว้ “การเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้” (กิจการ 26:26).เรารู้ว่าจะต้องมีคนขี้สงสัยผู้ที่มีความคิดเป็นของตนเองเกี่ยวกับพระเจ้่าติดตามอ่านหลักฐานเหล่านี้อยู่ และจะมีบางคนที่ไม่ว่าจะมีหลักฐานแค่ไหนเขาก็ไม่มีวันจะเปลี่ยนใจ (สดุดี 14:1) ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเชื่อเท่านั้น (ฮีบรู 11:6).
วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
ความทุกข์ยากไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำร้ายเราแต่เพื่อนำเราเข้าหาพระเจ้า
สดุดี 119:65-72
65พระองค์ได้ทรงกระทำดีต่อผู้รับใช้ของพระองค์โอข้าแต่พระเยโฮวาห์ตามพระวจนะของพระองค์ 66ขอทรงสอนคำตัดสินและความรู้แก่ข้าพระองค์เพราะข้าพระองค์เชื่อถือพระบัญญัติของพระองค์ 67ก่อนที่ข้าพระองค์ทุกข์ยากข้าพระองค์หลงเจิ่นแต่บัดนี้ข้าพระองค์รักษาพระวจนะของพระองค์ไว้ 68พระองค์ประเสริฐและทรงกระทำการดีขอทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์ 69คนโอหังป้ายความเท็จใส่ข้าพระองค์แต่ข้าพระองค์จะรักษาข้อบังคับของพระองค์ด้วยสุดใจ 70จิตใจของเขาทั้งหลายต่ำช้าเหมือนไขมันแต่ข้าพระองค์ปีติยินดีในพระราชบัญญัติของพระองค์ 71ดีแล้วที่ข้าพระองค์ทุกข์ยากเพื่อข้าพระองค์จะเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์ของพระองค์ 72สำหรับข้าพระองค์พระราชบัญญัติแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์ก็ดีกว่าทองคำและเงินพันๆแท่ง
เมื่อพูดถึง “โรงเรียนแห่งความรันทด” เรากำลังผู้ถึงประสบการณ์ความยากลำบากในชีวิตที่สอนเราแม้ว่ามนุษย์มีธรรมชาติที่จะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดแต่ผู้เชื่อสามารถเรียนรู้จากสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ได้
ผู้เขียนบทเพลงสุดุดีบอกไว้อย่างชาญฉลาดว่า “ดีแล้วที่ข้าพระองค์ทุกข์ยากเพื่อข้าพระองค์จะเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์ของพระองค์” (สดุดี 119:71) ความทุกข์ใจที่เกิดขึ้นกับเขาคือการถูกใส่ร้าย (69-70) กระนั้น ผู้เขียนสดุดีตระหนักว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจะสอนให้เขาเห็นคุณค่าพระคำของพระเจ้า
ปัญหาที่คุณเผชิญอยู่คืออะไร? จงอธิษฐานมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ใคร่ครวญพระวจนะ และขอบพระคุณพระองค์สำหรับบทเรียนแห่งชีวิตที่คุณกำลังจะได้เรียนรู้ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผนดินโลกทรงครองอยู่ แม้ “โรงเรียนแห่งความรันทด”
พระเจ้ายังทรงครอบครองบัลลังก์อยู่
และเรารู้พระองค์ไม่ทอดทิ้ง
พระสัญญาพระองค์เป็นความจริง
ไม่เคยทรงเฉยนิ่งลืมเราไป
ความทุกข์ยากไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำร้ายเราแต่เพื่อนำเราเข้าหาพระเจ้า
65พระองค์ได้ทรงกระทำดีต่อผู้รับใช้ของพระองค์โอข้าแต่พระเยโฮวาห์ตามพระวจนะของพระองค์ 66ขอทรงสอนคำตัดสินและความรู้แก่ข้าพระองค์เพราะข้าพระองค์เชื่อถือพระบัญญัติของพระองค์ 67ก่อนที่ข้าพระองค์ทุกข์ยากข้าพระองค์หลงเจิ่นแต่บัดนี้ข้าพระองค์รักษาพระวจนะของพระองค์ไว้ 68พระองค์ประเสริฐและทรงกระทำการดีขอทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์ 69คนโอหังป้ายความเท็จใส่ข้าพระองค์แต่ข้าพระองค์จะรักษาข้อบังคับของพระองค์ด้วยสุดใจ 70จิตใจของเขาทั้งหลายต่ำช้าเหมือนไขมันแต่ข้าพระองค์ปีติยินดีในพระราชบัญญัติของพระองค์ 71ดีแล้วที่ข้าพระองค์ทุกข์ยากเพื่อข้าพระองค์จะเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์ของพระองค์ 72สำหรับข้าพระองค์พระราชบัญญัติแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์ก็ดีกว่าทองคำและเงินพันๆแท่ง
เมื่อพูดถึง “โรงเรียนแห่งความรันทด” เรากำลังผู้ถึงประสบการณ์ความยากลำบากในชีวิตที่สอนเราแม้ว่ามนุษย์มีธรรมชาติที่จะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดแต่ผู้เชื่อสามารถเรียนรู้จากสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ได้
ผู้เขียนบทเพลงสุดุดีบอกไว้อย่างชาญฉลาดว่า “ดีแล้วที่ข้าพระองค์ทุกข์ยากเพื่อข้าพระองค์จะเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์ของพระองค์” (สดุดี 119:71) ความทุกข์ใจที่เกิดขึ้นกับเขาคือการถูกใส่ร้าย (69-70) กระนั้น ผู้เขียนสดุดีตระหนักว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจะสอนให้เขาเห็นคุณค่าพระคำของพระเจ้า
ปัญหาที่คุณเผชิญอยู่คืออะไร? จงอธิษฐานมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ใคร่ครวญพระวจนะ และขอบพระคุณพระองค์สำหรับบทเรียนแห่งชีวิตที่คุณกำลังจะได้เรียนรู้ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผนดินโลกทรงครองอยู่ แม้ “โรงเรียนแห่งความรันทด”
พระเจ้ายังทรงครอบครองบัลลังก์อยู่
และเรารู้พระองค์ไม่ทอดทิ้ง
พระสัญญาพระองค์เป็นความจริง
ไม่เคยทรงเฉยนิ่งลืมเราไป
ความทุกข์ยากไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำร้ายเราแต่เพื่อนำเราเข้าหาพระเจ้า
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2551
Welcome to PLLC pragrams.
Foreigners interested in teaching foreign languages in Thailand are welcome to PLLC pragrams.
Qualifications
1. Bachelor's degree in any fields.
2. TOEFL/TEFL Certificate preferable (not necessary)
3. Apply in person at 109/2 Moo.3 Chalerprakiet Road, Tombol Thasala, Mueng District, Lopburi 15000
or contact Tel:66 36 422985(Office)
:083-970-0037(Mob)
Email: santipot@gmail.com,santipot_kmitl@hotmail.com
Qualifications
1. Bachelor's degree in any fields.
2. TOEFL/TEFL Certificate preferable (not necessary)
3. Apply in person at 109/2 Moo.3 Chalerprakiet Road, Tombol Thasala, Mueng District, Lopburi 15000
or contact Tel:66 36 422985(Office)
:083-970-0037(Mob)
Email: santipot@gmail.com,santipot_kmitl@hotmail.com
วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2551
กระยาสารทสมุนไพรน่าสนใจนะ
กระยาสารทสมุนไพร
กระยาสารทสมุนไพร เป็นผลิตพันธ์ OTOP ตำบลชัยนารายณ์ จังหวัดลพบุรี กระยาสารทอยู่หลายสูตรด้วยกัน เช่น กระยาสารทสมุนไพรเมล็ดทานตะวัน ,กระยาสารทสมุนไพรงาดำ ,ขิง ,มะพร้าว งาดำขั้วอบขิงก็มีนะน่าสนใจมากเลย
ร้าน นพดลกระยาสารทสมุนไพร
51/1 ม.1 ต.ชัยบาดาล อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี 15130
(036)461603
089-2406635
089-8035399
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)